บทความน่าสนใจ

Trade War

ข้อตกลงการค้าเฟสแรกไม่ยาก..แต่เฟสถัดไปไม่ง่าย

ประเด็นข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐ ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องกรอบเวลาที่จะทำข้อตกลงระหว่างกัน แต่เต็มไปด้วยกระแสข่าวทั้งในทางบวก และทางลบ ซึ่งดูเหมือนการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลกจะให้น้ำหนักในประเด็นนี้ค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นบ้านเรา

ก่อนอื่น ผมขอสรุปมูลค่าสินค้านำเข้าจากจีนที่ถูกสหรัฐเก็บภาษี โดยแบ่งเป็น 3 ก้อน ด้วยกัน โดยก้อนแรกมูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญ ถูกจัดเก็บอัตราภาษี 25% ก้อนที่สองมูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญ ถูกจัดเก็บอัตราภาษี 25% เช่นเดียวกัน และก้อนที่สาม มูลค่าเกือบ 3.0 แสนล้านเหรียญ ถูกแบ่งย่อยออกเป็นอีก 2 ก้อน โดยก้อน 1.12 แสนล้านเหรียญ ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าไปแล้วที่อัตรา 15% ในวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ส่วนอีก 1.60 แสนล้านเหรียญ จะถูกจัดเก็บภาษีที่อัตรา 15% ในวันที่ 15 ธ.ค. 

ส่วนจุดเริ่มต้นของประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ซึ่งเริ่มมีกระแสในทางบวกหรือผ่อนคลายความตึงเครียด นับตั้งแต่เริ่มมีการเจรจากันในช่วงเดือนก.ย. และได้ผลที่เป็นรูปธรรมครั้งแรกในการเจรจากันในช่วงวันที่ 10-11 ต.ค. ซึ่งสหรัฐมีการเลื่อนปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสำหรับก้อน 2.5 แสนล้านเหรียญ ที่จะถูกปรับขึ้นจาก 25% เป็น 30% ในวันที่ 15 ต.ค. ถูกเลื่อนออกไป ซึ่งเป็นผลการเจรจาที่เป็นรูปธรรมล่าสุดที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่เรื่องการทำข้อตกลงทางการค้าในเฟสแรกที่ปัจจุบัน ยังไม่สามารถระบุว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไหน เพียงแต่คณะเจรจาทั้งสองฝ่ายจากสหรัฐ และจีน กล่าวแต่เพียงว่า การเจรจาเรื่องข้อตกลงอยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว

ขณะที่บางช่วงมีกระแสข่าวในทางลบออกมาบ้างถึงการเจรจาที่อาจไม่ราบรื่นกดดันตลาด อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าตลาดมีความหวังว่า การทำข้อตกลงการค้าในเฟสแรก จะเกิดขึ้นได้ก่อนสิ้นปีนี้

สังเกตจากการเคลื่อนไหวของตลาด แม้ว่ากระแสข่าวที่ออกมาจะเป็นในทำนองเดิม คือ อยู่ในช่วงขั้นสุดท้าย แต่ยังไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา (เราจะได้ยินข่าวว่า การทำข้อตกลงอยู่ในขั้นสุดท้ายมาหลายครั้งแล้ว)อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังตอบรับในเชิงบวกอยู่

คราวนี้มาถึงมุมมองของผมกันบ้าง ซึ่งข้อตกลงการค้าในเฟสแรก ผมมองว่ามีโอกาสเกิดขึ้น และเป็นไปได้มากสุด คือ สินค้าจีนมูลค่า 1.60 แสนล้านเหรียญ ที่จะถูกจัดเก็บในอัตรา 15% ในวันที่ 15 ธ.ค. จะถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากผมมองว่าทางทรัมป์เองน่าจะเต็มใจ เนื่องจากสินค้าในก้อนนี้ มีสัดส่วนสินค้าอุปโภคและบริโภคอยู่ในระดับสูง หากถูกจัดเก็บภาษี จะกลับมาส่งผลกระทบต่อทางสหรัฐเองในด้านราคาสินค้าจะถูกปรับขึ้นตาม กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะฐานเสียงสำคัญในชนชั้นระดับกลางถึงล่างจะได้รับผลกระทบ ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของทรัมป์เองในปลายปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจีนอยากได้มากกว่านั้น นั่นคือ การยกเลิกการจัดเก็บภาษีในก้อนอื่นๆ ซึ่งสหรัฐยังไม่ยอม ทำให้ความต้องการที่ไม่ตรงกันนี้เอง ส่งผลให้การทำข้อตกลงการค้าในเฟสแรก ยังไม่เกิดขึ้น

ดังนั้น อย่างน้อยหากสหรัฐเริ่มยอมยกเลิกการเก็บภาษีที่เก็บไปแล้วบางก้อนออกไป ผมมองว่าจะเกิดข้อตกลงทางการค้า ซึ่งความเป็นไปได้รองลงมา คือ ภาษีก้อน 1.12 แสนล้านเหรียญ ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 15% เมื่อวันที่ 1 ก.ย. มีโอกาสถูกยกเลิก (หรือปรับลดอัตราภาษีที่จัดเก็บลงก็มีความเป็นไปได้) เนื่องจากสินค้าในก้อนนี้ มีสัดส่วนสินค้าประเภทอุปโภคและบริโภคเช่นเดียวกัน

ส่งผลให้มุมมองผมที่มองว่า การทำข้อตกลงการค้าในเฟสแรก มีโอกาสเกิดขึ้น ด้วยสมมติฐานสหรัฐเลื่อนขึ้นภาษีในวันที่ 15 ธ.ค. และยกเลิกการเก็บภาษีสำหรับสินค้าจีนมูลค่า 1.12 แสนล้านเหรียญ (หรือปรับลดอัตราภาษีในก้อนนี้ลง) ซึ่งทางจีนเองน่าจะยอมรับได้ ส่วนกรอบเวลา ผมมองการทำข้อตกลงการค้า มีโอกาสเกิดขึ้นก่อนวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งสหรัฐมีกำหนดขึ้นภาษีจีนอีกครั้งในวันดังกล่าว

มาถึงส่วนถัดไป หากถามว่าข้อตกลงในเฟสที่สอง มีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ โดยส่วนมุมมองผมแล้ว โอกาสเกิดขึ้นยาก เนื่องจากสหรัฐจะต้องมีการยกเลิกภาษีในก้อน 5 หมื่นล้านเหรียญ และ 2.5 แสนล้านเหรียญ ซึ่งหากมองในมุมทรัมป์แล้ว ไม่มีความจำเป็นเลย เนื่องจาก การจัดเก็บภาษีในช่วงที่ผ่านมา พิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และผมมองว่าเปรียบเสมือนผลงานชิ้นโบว์แดงของทรัมป์ ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงของทรัมป์เองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปีหน้า ซึ่งจีนเองก็อยากดูก่อนว่าทรัมป์จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่เช่นกัน

ทำให้ผมเลยมองว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกเกิดได้ไม่ยาก แต่เฟสถัดไปเกิดไม่ได้ง่ายนะครับ